"
" รีวิวเรียนต่อ Marketing ที่ University of Strathclyde "
แนะนำตัวคร่าว ๆ หน่อยค่า
ชื่อ Kavalee Kositchard (Kan กัลป์) นะคะ – จบปริญญาตรีสาขา Economics จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท MSc Marketing จาก University of Strathclyde ตอนนี้ทำงาน Business Development อยู่ที่ SCG ทำตั้งแต่หลังเรียนจบมาเลยค่ะ
ตอนที่ไปเรียน ทำไมถึงเลือกเป็นที่นี่คะ
ตอนนั้นกัลป์เปรียบเทียบ Ranking ด้าน Marketing ของที่ Strathclyde กับมหาวิทยาลัยอีก 2 ที่ ซึ่ง Ranking ของที่ Strathclyde ดีที่สุด ก็เลยเลือกที่นี่ อีกอย่างคือกัลป์อยากอยู่ในเมือง แต่ไม่วุ่นวายมาก ซึ่งเมือง Glasgow ก็ตอบโจทย์
เห็นจบปริญญาตรีเป็นด้าน Economics มา ทำไมถึงเปลี่ยนมาเรียนด้าน Marketing เหรอคะ
ตอนกัลป์ทำงานที่ธนาคาร มันเป็นงานที่มีตัวเลข แต่รู้สึกว่าไม่ได้ชอบเลขขนาดนั้น แต่จะมีเกี่ยวกับธุรกิจ SME เป็นแนวสินเชื่อธุรกิจ อยากทำเกี่ยวกับการวางแผน Marketing มากกว่า เพราะตอนทำงานได้ไปดูธุรกิจของลูกค้าจริง ๆ เลยอยากทำแนว Strategy หรือ ดู Brand ทำให้อยากที่จะเรียนทาง Marketing ไปเลย
ตอนที่เรียน Marketing ที่ Strathclyde ชอบวิชาอะไรที่สุด
วิชาที่ชอบก็จะมี Brand Management & Strategy กับ Strategic Marketing Management เพราะอาจารย์เขาจะไม่ได้สอนตามตำราค่ะ เขาจะสอนทฤษฎี แล้วก็จะมีแบบฝึกหัดให้เราคิด ทำให้เรามองเห็นภาพตัวอย่างในชีวิตจริงได้มากขึ้น คือมันเห็นภาพมากกว่าปกติที่เคยเรียนมา พอไปอ่านหนังสือก็รู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์สอนมาจากในห้องมันเห็นภาพชัดมากขึ้น อีกวิชาที่ชอบก็จะเป็น Retail Marketing Management เพราะการบ้านไม่น่าเบื่อ อาจารย์จะให้เราไปสำรวจร้านค้าที่เราเลือกเอง เพื่อที่จะดูว่า Location เป็นยังไงบ้าง แล้วเอามาวิเคราะห์ตามที่เรียน อาจารย์ก็สอนเข้าใจง่าย
วิชาส่วนใหญ่อาจารย์เขาปูพื้นฐานให้มั้ย และยากมั้ย
คิดว่าไม่ยากค่ะ เพราะเขาสอนพื้นฐานให้ทุกอย่างเลยค่ะ แต่อย่างวิชา International Marketing Research ที่เป็นพื้นฐานการคิดเลข ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฯลฯ เขาก็สอนให้เราดูว่าเวลาคิด คิดยังไง วิเคราะห์แบบไหน เขาจะสอนเหมือนตอนที่เรียนมัธยมเลยค่ะ แต่ว่าเขาจะสอนเร็ว ๆ พอเราไปอ่านเองอีกทีก็เข้าใจ คือเขาไม่ได้ละเลยจุดเล็ก ๆ แต่ก็ต้องอาศัยตัวเราเองว่าต้องทบทวนเพิ่มด้วย
สัดส่วนของ Lecture class กับ Practical class มันต่างกันมากมั้ยคะ
คือเขาก็ Lecture ตรงตามตารางทั้งหมด อะไรที่เป็นสาระสำคัญที่เราต้องรู้ก็ครบ แต่ถ้าเป็นตัวอย่างเพิ่มเติม ก็จะเป็นทั้ง Lecture แล้วก็แบบฝึกหัดอย่างละครึ่งเลย คือทุกวิชาเขาจะมีการบ้านมาให้ทำแบบฝึกหัด การบ้านจะประมาณ 60% ส่วนตัวกัลป์เองรู้สึกว่า เราจะต้องใช้เวลาในการทำการบ้านเยอะหน่อย คือเราต้องอ่านก่อนว่ามีเนื้อหาอะไรบ้างที่เราต้องใช้ในงาน แต่ว่าไม่ได้ดึงมาใช้ทั้งหมด
Assignment ยากมากมั้ย และงานกลุ่มส่วนใหญ่ อาจารย์เลือกเพื่อนให้หรือเราเลือกเองคะ
- มีทั้งเลือกให้ และให้เราจับกลุ่มกันเองค่ะ เทอมแรกส่วนมากอาจารย์จะจัดกลุ่มให้หมดเลย แต่ถ้าเป็นเทอมสองจะจับกลุ่มกันเองค่ะ อย่างตัวโปรเจกต์จบก็เลือกเอง
- Assignment รู้สึกว่ายากเป็นบางวิชานะคะ รู้สึกว่างานกลุ่มมันจะไปยากตรงที่คุยกับเพื่อนในกลุ่มมากกว่า เพราะบางงาน อาจารย์จะเป็นคนจัดกลุ่มให้ แล้วเราไม่รู้จักเพื่อนมาก่อน แรก ๆ ก็เลยจะยังไม่สนิทกัน
เพื่อน ๆ ใน Class มีกี่คน มีใครมีพื้นฐานด้าน Marketing มาบ้างมั้ยคะ หรือว่าทุกคนมาเริ่มใหม่กันหมดเลย
มีทั้งหมดประมาณ 150 คน มีเพื่อน ๆ คนไทย 9 คนค่ะ ส่วนใหญ่จะมาจากจีนค่ะ แต่จริง ๆ กัลป์ว่าจากยุโรปก็เยอะเหมือนกันนะคะ ประมาณ 40% ส่วน 60% ที่เหลือก็จะเป็นคนจีนประมาณ 30% ซึ่งส่วนใหญ่ก็เริ่มใหม่กันเกือบหมดเลยค่ะ เพราะเพื่อน ๆ ใน Class มาจากหลากหลาย Background
สิ่งแวดล้อม บรรยากาศในการเรียนเป็นยังไงบ้างคะ สนิทกับเพื่อน ๆ มั้ย
บรรยากาศในห้องก็คือ เพื่อน ๆ จะช่วยกัน discuss แชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ เลยรู้สึกว่าเราได้อะไรจากตรงนี้เยอะมาก เพราะเพื่อน ๆ ก็มาจากหลายประเทศ มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ตอน Lecture ส่วนมากก็จะเป็นคนไทยช่วยกันเอง ก่อนสอบทุกครั้งก็จะมีนัดคุยกันตลอด ว่ามีตรงไหนไม่เข้าใจมั้ย เพราะเหมือนบางทีเราเข้าใจผิด ด้วยเนื้อหา ด้วยภาษาอะไรแบบนี้
ตอนที่เรียนเทอมแรกกับเทอมสอง ความยากต่างกันมั้ยคะ ปรับตัวเยอะหรือเปล่า
จำนวนงานเทอมแรกจะมากกว่าเทอมสองค่ะ แทบไม่มีเวลาพักเลย แล้วก็เทอมแรกจะเรียนเยอะกว่าด้วย แต่ไม่แน่นนะคะ จะเรียนวันละวิชา ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อ Class ส่วนเทอมสองจะเว้นวันบ้าง เรียน 2 วิชาต่อวันก็มี แต่ก็ไม่แน่นมาก แล้วก็เรื่องการปรับตัว ไม่ได้ปรับตัวเยอะเท่าไหร่ค่ะ จะปรับตัวแค่เรื่องงานเฉย ๆ ต้องจัดลำดับดี ๆ น่ะค่ะ เพราะงานค่อนข้างเยอะมาก
ในเทอมที่สอง วิชา Marketing Works: Group Consultancy Project เป็นยังไงบ้างคะ
- ตอนแรกเราจะเรียนใน Class ก่อน จากนั้นอาจารย์จะให้เราจับกลุ่มเอง แล้วไปหาลูกค้าจริง ๆ ซึ่ง (ของกลุ่มกัลป์) เขาทำเกี่ยวกับวิจัยนิวเคลียร์ ทางลูกค้าเขาอยากให้เราอัปเดตเว็บไซต์ให้ เพราะมันเก่ามาก ไม่ค่อยมี engagement เขาเลยอยากรู้ว่าต้องปรับตรงไหนบ้าง ควรออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ให้ออกมาเป็นแบบไหน ซึ่งเขาจะนำงานของเราไปใช้เป็นแบบจริงเลยค่ะ ทางบริษัทก็จะมีให้เราไปสัมภาษณ์ลูกค้าของทางบริษัท รวมถึงนักวิจัยที่ทำงานให้เขา อย่างถ้าเป็นนักวิจัย เขาอยากได้อะไรเพิ่มเติม สีของเว็บควรเป็นแบบไหน ที่ทำให้งานของแต่ละคนดูง่ายขึ้น กัลป์รู้สึกว่าตรงนี้ยาก เพราะต้องนำงานมาปรับกับทฤษฎี อีกทั้งยังมีเรื่องออกแบบเว็บไซต์ การจัดการคนซึ่งเราต้องนัดคนเองด้วย แล้วก็ต้องอ่านงานวิจัยเยอะมากก่อนที่จะทำออกมาเป็นหน้าเว็บให้เขาได้
- ชิ้นงานสุดท้ายที่ต้องส่งของโปรเจกต์นี้ คือเป็นตัว Paper อย่างเดียวเลยค่ะ ต้องเขียน 12,000 คำ แต่ว่าเนื้อหาข้างในก็จะมีพาร์ตที่เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ที่เราออกแบบไว้ แล้วก็อธิบายแต่ละจุดไว้ว่าควรเป็นแบบไหน อ้างอิงจากใครบ้าง แล้วก็จะมีส่วนของทฤษฎีเราเอามาปรับใช้ แต่ว่าตัวโปรเจกต์นี้จะเป็นคนละอย่างกับ Dissertation นะคะ
จาก Project นี้ที่ได้มีการติดต่อกับบริษัทจริง ๆ น้องกัลป์คิดว่าเราสามารถหา connection จากจุดนั้นได้มั้ยคะ
คิดว่าได้นะคะ เพราะเหมือนตอนใกล้จบ จะมี Marketing Project อีกอันคือเขาจะคัดไปประมาณ 5 กลุ่ม ให้ทำ presentation แล้วหลังจบการนำเสนอจะมีงานเลี้ยง ส่วนกลุ่มที่ชนะ เขาจะนำงานไปทำจริงเลยค่ะ แต่ตัวโปรเจกต์ที่เราทำให้บริษัทจะไม่ได้ค่าจ้างนะคะ
อาจารย์เขาช่วย support เราในการทำโปรเจกต์นี้มั้ย แล้วเขามี criteria ในการตัดสินงานนี้ยังไงบ้างคะ
อาจารย์เขาช่วยดีมากค่ะ อาจจะโชคดีด้วย ตอนทำโปรเจกต์อาจารย์ก็จะมีนัดคุยประมาณ 5 ครั้ง อัปเดตงานเรื่อย ๆ หรือหลังจากคุยกันแล้ว ถ้ามีคำถามเพิ่มเติม เขาก็จะตอบตลอดเลย ส่วนในการให้คะแนน กัลป์คิดว่าก็เหมาะสมนะคะ คือมันไม่ได้สูงหรือต่ำจนเกินไป เขาจะให้คะแนนเท่ากันทุกคนค่ะ แต่เขาก็จะมีให้เขียนรีวิวว่าเพื่อนแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง
แล้วตอนที่ทำ Dissertation ทำเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว และยากกว่าตัว Marketing Work มั้ยคะ
- Dissertation ทำเป็นงานเดี่ยวค่ะ เขียนประมาณ 15,000 คำ และรู้สึกว่ามันยากกว่า Marketing Work เพราะต้องทำสถิติด้วย แล้วเอามาวิเคราะห์ด้วย ขั้นตอนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นตอนทำแบบสอบถามกับตอนแปลข้อมูลค่ะ มันยากตรงที่จะต้องคิดให้ครอบคลุมว่าเราจะต้องตอบจุดประสงค์ของเราให้ได้
- ตอนที่ทำช่วงแรก ๆ อาจารย์เขาก็มีช่วย guide ด้วยนะคะ ตอนที่คิดหัวข้อ กัลป์อยากทำเกี่ยวกับแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่ง อาจารย์เขาก็ไม่ห้ามเราเลย คือถ้าเขารู้ว่าเราอยากจะทำเกี่ยวกับอะไร เขาก็อยากให้ทำ แล้วเขาก็จะมีแนะตอนทำวัตถุประสงค์ ทำให้เราคิดง่ายขึ้น
- อาจารย์เขา support ดีมากเหมือนตอนทำ Marketing Work เลยค่ะ เราจะได้เจออาจารย์ประมาณ 5 ครั้ง เขาตอบอีเมลตลอด ถ้าเราอะไรสงสัย เขาก็ช่วยตลอดเลยค่ะ อย่างตอนทำแบบสอบถาม อาจารย์เขาก็ช่วยดู และแก้ให้เพื่อที่ได้ออกมาดีที่สุดค่ะ
มหาวิทยาลัยมี Service ช่วยดูหรือหาที่ฝึกงาน หรือทำ project กับบริษัทจริง ๆ มั้ยคะ
มีนะคะ แต่กัลป์อาจจะไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตรงนี้มาก เหมือนมีเพื่อน ๆ ชาวยุโรปเขาก็ได้งานกันนะคะ
ความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาจากการไปเรียน คิดว่ามีประโยชน์และได้ใช้กับการทำงานมากน้อยแค่ไหน
กัลป์ว่ามีประโยชน์มากเลย อย่างเนื้อหาที่เรียนน่ะค่ะ เราสามารถนำมาใช้ได้จริง คือเรารู้ว่าทฤษฎีนี้จะนำไปใช้ในจุดไหนได้ จากที่ทำงานมา มันเห็นภาพมากขึ้น ส่วนการไปใช้ชีวิตที่นู่น รู้สึกว่าเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น และลำดับความสำคัญต่าง ๆ ได้ดีขึ้น มันไม่ได้ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เหมือนตอนที่ยังไม่ได้ไปเรียน รู้สึกอยากพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพราะยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ
ระหว่างที่เรียน น้องกัลป์มีเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมั้ยคะ
- มีเป็นสมาชิกที่ยิมของมหาวิทยาลัย บางครั้งก็มีนัดเจอเพื่อน ๆ ที่นั่นด้วย นอกนั้นก็จะเป็นกิจกรรมข้างนอกมากกว่า
- ส่วนกิจกรรมที่ได้เจอกับเพื่อน ๆ คนไทย ก็บ่อยค่ะ จริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ที่สนิทด้วย ไม่มีใครอยู่ Marketing เหมือนกัลป์เลย มีนัดเจอกันตลอด นั่งทำงานด้วยกันถึงตีสามตีสี่ตลอดเลย เพื่อน ๆ ก็มีเรียน Entrepreneurship, Management, Finance แล้วก็ Economics ค่ะ
มีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับการไปเรียนที่นี่บ้างคะ
ตอนแรกจะมีความรู้สึกว่า Scotland มันจะไม่เป็นเมืองหรือเปล่า แต่พอไปจริง ๆ แล้ว กัลป์ชอบนะ คือมันมีความเป็นเมือง แต่ว่าไม่ได้วุ่นวาย ชิล ๆ อย่างพวกหอพัก ที่อยู่อาศัยก็โอเคเลย ตอนแรกกัลป์อยู่ที่หอ St James ก่อนจะย้ายไปอยู่บ้านเช่ากับเพื่อน ก็โอเคดีค่ะ
เห็นนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไป Strathclyde จะอยู่หอกัน งั้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะว่าขั้นตอนการหาบ้านเช่าเองเป็นยังไงบ้าง
- กัลป์ดูจากในเว็บไซต์ก่อนค่ะ แล้วค่อยอีเมลไปถามเจ้าของบ้านแต่ละบ้าน คือเขาก็อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัยค่ะ หลังจากที่อีเมลไปเขาก็ติดต่อมาว่าจะนัดให้เข้าไปดูบ้าน ถ้าดูแล้วโอเคก็ทำสัญญากับเจ้าของบ้าน สัญญาจะเป็นแบบ 1 ปีเหมือนกับหอเลยค่ะ ค่าเช่าบ้านจะถูกกว่า ค่าน้ำไม่ต้องเสีย เขาให้ใช้ฟรี แต่ว่าเราต้องจ่ายค่าไฟเองนะคะ บางเดือนที่ต้องเปิดฮีตเตอร์บ่อย ๆ กัลป์รู้สึกว่ามันไม่คุ้มเท่าไหร่ อยู่หอน่าจะอุ่นกว่า แต่โดยรวมคือห้องนั่งเล่นกับห้องครัวจะกว้างกว่า
- ราคาจะอยู่ที่ประมาณสัปดาห์ละร้อยกว่าปอนด์ค่ะ ก็เฉลี่ยเดือนละ 500 ปอนด์นะคะ ในกรณีที่บางเดือนเสียค่าไฟเยอะ โดยรวมก็ถูกกว่าหอ แต่กัลป์ว่ารู้สึกเย็นกว่าหอ อาจจะเป็นเพราะกัลป์อยู่ชั้นล่างด้วย แล้วก็บางทีไม่อยากเปิดฮีตเตอร์บ่อย เพราะกลัวค่าไฟขึ้น
น้องกัลป์มีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับ Facilities ของมหาวิทยาลัยบ้างคะ
มหาวิทยาลัยมี Facilities ครบเลยค่ะ ห้องสมุดเงียบดี แล้วก็มีห้องประชุมให้ด้วย ส่วนโรงอาหารที่นี่ก็โอเคค่ะ กัลป์เคยทำงานกับโรงอาหารด้วยนะคะ (เป็นหนึ่งใน Assignment) คือเขาให้เราไปปรับปรุงคุณภาพของโรงอาหาร ไปสำรวจว่าทำยังไงดี ซึ่งทางพนักงานและคนที่มาใช้บริการเขาก็ให้ความร่วมมือดี และยิมของมหาวิทยาลัยดีมากกกกก มีอุปกรณ์ครบเลย มีสระว่ายน้ำ แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยสอนให้ด้วย
ความประทับใจในแง่ของคอร์สเรียน ออกแบบหลักสูตรมาดีมั้ย
กัลป์คิดว่าตัววิชาบังคับออกแบบมาเหมาะสมนะคะ เพราะมันเป็นพื้นฐานที่ต้องเรียน และทุกคนควรจะรู้ แต่ในส่วนของวิชาเลือก คือบางวิชาที่ฮิตมาก ๆ มันอาจจะเต็มเร็ว เราเลือกไม่ได้ ตรงนี้เลยรู้สึกว่าอยากให้จัดห้องเพิ่ม
สิ่งที่คาดหวัง VS ความเป็นจริง เป็นยังไงบ้างคะ
กัลป์ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะประทับใจที่นี่มากขนาดนี้ แต่พอไปมาแล้ว รู้สึกประทับใจมาก ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงอยู่ คน Glasgow ค่อนข้างเฟรนด์ลี่ บ้านเมืองเขามีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ไม่ได้น่ากลัว
สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากฝากถึงคนที่สนใจจะเรียน Marketing บ้างมั้ยคะ
ในมุมมองของกัลป์ ถ้าอยากเรียนด้าน Marketing สนใจเรียนด้านนี้จะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะมา คนที่อยากเรียนอาจจะเป็นคนที่อยากเป็นผู้ประกอบการ หรือพนักงงานออฟฟิศ หรือในอนาคตอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาเป็นของตัวเอง ซึ่ง Marketing มันอยู่ในชีวิตเรา อยู่ในเกือบทุกอาชีพ กัลป์รู้สึกว่ามันเน้นความคิดสร้างสรรค์ด้วยน่ะค่ะ แล้วก็อยากจะแนะนำว่าให้อ่านเกี่ยวกับ Strategy หรือ Consumer Behaviour หรืออาจจะศึกษาพวกการ Research มาก่อนก็น่าจะดี แล้วก็ดูความชอบตัวเองค่ะ เพราะตอนทำ dissertation ก็ต้องรู้แล้วค่ะว่าเราอยากทำอะไร อย่างช่วงที่เรียน Pre-sessional English เขาก็มีให้ทำคล้าย ๆ จำลอง dissertation เลย ซึ่งถ้าเรารู้แล้วว่าอยากทำอะไร ก็สามารถเอามาปรับใช้ได้Kavalee Kositchard (Kan กัลป์) – University of Strathclyde
MSc Marketing
สำหรับน้องๆที่สนใจเรียนต่อด้าน Marketing หรือสมัครเรียนที่ University of Strathclyde สามารถลงทะเบียนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนี้เลยค่ะ"