Scottish Universities Alumni | Warp

Scottish Universities Alumni
Tanakal Wongwarawipat (Warp)
Foundation in Medicine
University of St Andrews
"รีวิวเรียนต่อ Foundation in Medicine ที่ St Andrews St George's Edinburgh

1. ที่เลือกไปเรียน Medicine Foundation ที่ University of St Andrews เป็นเพราะว่าได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัยอันยาวนานไม่แพ้มหาวิทยาลัยระดับโลกเช่น Oxford และ Cambridge และที่สำคัญความยิ่งใหญ่และการเรียนการสอนในวิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ที่ให้ความสำคัญทั้งการพัฒนาความสามารถของตนเองในฐานะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆกัน เพื่อการสานต่อและพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์เพื่อผู้ป่วยในระดับสากลโลกและในอนาคตครับ

2. ข้อแตกต่างของการเรียนหมอที่ไทยและที่ UK
หลักๆเลยก็คือการที่หลักสูตรของที่ UK จะมีการต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการทำ Bachelor of Science (วิทยาศาสตร์บัณฑิต) ซึ่งจะเป็นการออกมาทำการวิจัย ทำการศึกษาในหัวข้อที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษอย่างเข้มข้น ซึ่งในปีนี้จะเป็นการฝึกทั้งความสามารถในการอ่านและวิเคราะห์บทความวิชาการรวมถึงทักษะการทำงานในห้องปฏิบัติการทดลองและการออกแบบและคิดแบบนักวิทยาศาสตร์จริงๆ ซึ่งในจุดนี้ผมคิดว่าจำเป็นและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

3. เรียน Foundation in Medicine มีประโยชน์กับการเรียน Medicine ที่ UK ยังไง
การเรียนการสอนในคอร์ส Medicine Foundation จะไม่ได้มีแค่วิชาเคมีและชีววิทยาเท่านั้น แต่จะมีการสอนวิชาการเขียนบทความ เขียน essay การนำเสนอในรูปแบบของ presentation และ seminar รวมถึงวิชาทักษะการสื่อสารกับผู้ป่วย (communication skills) ซึ่งการหลักสูตรแพทยศาสตร์ของที่นี่ให้ความสำคัญมากๆ เพราะฉะนั้นการที่ได้มีการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆเหล่านี้จะทำให้การเรียนแพทย์ง่ายขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้นครับ

4. ควรต้องกังวลมั้ยกับการที่ต้องกลับมาสอบแพทย์สภา
ผมอาจจะให้ความเห็นที่แม่นยำมากไม่ได้เพราะยังไม่ได้กลับไปสอบเองเลยครับ เพราะผมตั้งใจว่าจะไปสอบตอนที่จบเฉพาะทางจากที่นี่แล้วค่อยกลับไปครับ แต่ถ้าเท่าที่ดูจากข้อสอบเก่าและแนวคำถามที่เพื่อนๆหมอที่ไทยส่งมาให้รวมถึงแนวของสถานี OSCE (การสอบปฏิบัติตรวจคนไข้) แล้วก็ดูไม่แตกต่างจากที่นี่มากครับ ถ้าจะมีก็จะเป็นพวกโรคที่พบบ่อยในบ้านเราเช่นโรคติดต่อ โรคเมืองร้อนที่น่าจะต้องอ่านเพิ่ม โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะต้องกังวลมากครับ
 
---------------

ข้อมูลเพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยเซ็นแอนดรูส์ เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่อันดับ 3 ของสหราชอาณาจักรมีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปี โดยเป็นรองเพียง Oxford และ Cambridge เป็นชื่อนักบุญประจำชาติของสก็อตแลนด์ ที่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่มีระบบการศึกษาภาคบังคับที่แรกของโลก จึงเป็นที่นิยมในการนำไปใช้เป็นชื่อโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆทั่วโลก

มหาวิทยาลัยติดอันดับ Top 5 UK และเข้ายากติดอันดับ 1/3 ของ UK ในแทบทุกสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยเปิดสอน โดยทั้ง 5 อันดับในปีนี้เป็นดังนี้

 
  1. Oxford
  2. Cambridge
  3. St Andrews
  4. LSE
  5. Imperial College


บทสัมภาษณ์ของน้องวาร์ป เมื่อตุลาคม 2014 ที่นิตยสารเด็กดี

 
"สวัสดีครับ ผมชื่อ "ธนกัลป์ วงศ์วราวิภัทร์" ครับ ชื่อเล่นชื่อ "Warp" ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะลำบากเวลาแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ต่างชาติเพราะมันไม่เก็ทกันเลย เนื่องจากเป็นคำที่ไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไหร่ จนกระทั่งผมต้องบอกว่ามันมาจาก Star Wars กับ Star Trek โน่นแหละถึงจะเข้าใจกัน 555 (มันมาจาก Warp Speed น่ะครับ) ตอนนี้เรียนแพทย์อยู่ที่ University of St Andrews ประเทศสก็อตแลนด์ (ประเทศสก็อตแลนด์เป็นหนึ่งในสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ และสก็อตแลนด์)

ผมเรียนจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาครับ สายวิทย์คณิต ก็เป็นอะไรที่แปลกมาก เพราะว่าคนไทยคนอื่นที่มาเรียนด้วยกันไม่มีใครมาจากโรงเรียนไทยเลย มาจากโรงเรียนอินเตอร์ทั้งหมด มีผมนี่แหละเป็นเด็กจากโรงเรียนไทยคนแรกเลยที่มาเรียน Medicine ที่นี่ จริงๆ ทางคณะแพทย์เค้าก็เสี่ยงอยู่นะ ถ้าเกิดรับเด็กไทยมาแล้วเรียนไม่ได้อย่างที่คาด อาจจะทำให้เค้าไม่ยอมรับเด็กจากโรงเรียนไทยอีกก็เป็นได้นะครับ แต่ก็โอเค ผมทำผลงานไว้ดีพอตัวเลย เค้าคงมองเด็กจากโรงเรียนไทยว่าดีแหละนะ (มั้ง) 555 การไปเรียนแพทย์ต่างประเทศนี่เป็นความฝันของผมมานานแล้วครับ ถ้าถามว่าทำไมต้องแพทย์ อาจจะเป็นเพราะเรื่องพันธุกรรมทางครอบครัวก็ได้นะครับ เพราะญาติผมเกือบทุกคนทำงานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหมดเลย ไม่ว่าจะหมอ หมอฟัน หรือเภสัช สำหรับตอนแรกที่ผมเริ่มมีความคิดอยากไปศึกษาแพทย์ต่อต่างประเทศ คือผมชื่นชมคณะแพทย์ต่างประเทศ ว่ามีผลงานการวิจัยอะไรเจ๋งๆ อยู่มากมายและก็มีชื่อเสียง มีการผลิตหมอฝีมือดีระดับโลกมากมาย คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้มีโอกาสไปสัมผัสอะไรแบบนั้นบ้าง ผมก็เลยคิดละว่าถ้าจะไปเรียน ก็คงจะไปเรียนที่ที่เค้าใช้ภาษาที่คุยกันรู้เรื่อง บวกกับความที่บ้าภาษาอังกฤษด้วย เนื่องจากตั้งแต่เด็ก ผมเรียนภาษาอังกฤษที่ British Council ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเจอแต่อาจารย์ที่ผมนับถือมากๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจาก UK(สหราชอาณาจักร) ทั้งนั้น พอผมบอกพวกเขาว่าอยากจะไปเรียนหมอที่ต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่า US(อเมริกา) หรือ UK ดี พวกเขาก็เชียร์ UK อย่างไม่ต้องสงสัย 555 

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นอีก จริงๆ ตอนแรกผมกะจะไปเรียนที่อเมริกานะครับ ผมก็ไปสอบ SAT สอบ TOEFL สอบนู่นนี่เพื่อเตรียมจะไปแล้วล่ะ แต่ไปๆ มาๆ ลองคิดถึงเวลาที่ต้องเรียนกับค่าเรียนแล้ว เรียนที่อเมริกามันต้องเรียนชีวเคมี 4 ปีก่อน แล้วค่อยไปต่ออีก 4 ปีในโรงเรียนแพทย์ รวมแล้วก็ 8 ปี ผมว่ามันเยอะเกินไปสำหรับผม แล้วค่าเรียนกับค่าอยู่มันก็แพงกว่าด้วย อย่างค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยที่อเมริกาที่ผมติดต่อไปแค่สำหรับเรียนชีวเคมี 4 ปีนี่ก็เท่ากับผมเรียนหมอที่นี่ตอนนี้แล้วครับ 5555 แต่ของสหราชอาณาจักรจะเรียนเหมือนที่เราเรียนกันในไทย คือ 3 ปีแรกเรียนพื้นฐานวิทยาศาสตร์สำหรับการแพทย์ ส่วน 3 ปีหลังเราก็จะไปสิงอยู่ในโรงพยาบาลนะครับ (ประมาณว่าฝึกชั้นคลินิกน่ะครับ 55) 

แต่คือยังไงหนทางมันก็ยังอีกยาวไกลสุดๆ เลย เพราะหลังเรียนจบหมอซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 6 ปีแล้ว ผมก็ต้องไปสมัครเข้าไปเรียน Medicine Foundation Year 1 and 2 คือประมาณสมัครเข้าไปทำงานในโรงพยาบาลเพื่อเอา Permanent License (ใบประกอบโรคศิลป์) ของที่นี่อีกครับ ซึ่งคาดว่าถ้าจะกลับมาสอบใบประกอบของไทย ผมก็ต้องอ่านไปสอบเช่นกัน และก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องสอบของอเมริกาเผื่ออีกอัน ตายแน่ T_T แล้วหลังจากนั้น ถ้าเกิดผมยังไม่หมดไฟ ก็ไปต่อเฉพาะทางอีก ก็แล้วแต่สาขา ถ้าคิดจะเรียน Surgery (ศัลยกรรม) ผมว่าก็คงอีกอย่างน้อย 5 ปีเข้าไปนั่นแหละครับ T_T เบ็ดเสร็จอย่างน้อย 10 ปีแหละ แต่เพื่อนๆ ผมที่ไทยก็คงประสบชะตากรรมเดียวกัน เพราะงั้นผมเลยโอเคเลย เราคงไม่เหงาแน่ๆ ล่ะนะ มีเพื่อนแก่ไปด้วยกันอีกเยอะ 555     

มาถึงขั้นตอนการสมัครเข้าเรียนหมอ โดยวุฒิม.6 จากไทยยังไม่สามารถเข้าเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษได้ทันที เราจะต้องสมัครเรียน Foundation Course หรือเรียนปรับพื้นฐานก่อน 1 ปี ตอนสมัครผมก็ยื่นใบเกรดของผม พอร์ทโฟลิโอ ผลงานตั้งแต่เด็กที่ทำมาทั้งหมดให้เขาพิจารณา เขียน Personal Statement(เรียงความ) เอาหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมให้เขาดูว่าเรียนอะไรไปมั่ง ยากง่ายขนาดไหน (เผลอๆ ยากกว่าหลักสูตรมัธยมปลายบ้านเค้าอีก 555555) เอาคะแนนสอบ IELTS, TOEFL, SAT, IGCSE, UKCAT ประมาณนี้ครับ [สมัครเรียนได้ที่ McDucation ซึ่งเป็นตัวแทนของ University of St Andrews อย่างเป็นทางการในประเทศไทย]

สำหรับตอนที่เข้าไปเรียน Medicine Foundation Course ผมต้องเรียนตัววิชาของมหาวิทยาลัย คือเคมีกับชีววิทยาครับ ซึ่งอันนี้คือต้องไปเรียนกับนักเรียนวิทยาศาสตร์เลย แล็บก็ต้องเข้าเหมือนกับว่าผมเรียนวิทยาศาสตร์จริงๆ  ถ้าถามว่ายากไหม มันก็เป็นระดับมหาวิทยาลัยน่ะครับ ความลึกมันก็มากกว่าตอนม.ปลายอยู่แล้ว แต่ผมกลับรู้สึกสนุกมากนะและมีความสุขกับมันมากกว่าตอนอยู่มัธยมมากเลยนะ เพราะว่าถึงมันจะยาก แต่มันมีเหตุผลแล้วก็ดูเรียนไปแบบมีจุดหมายกว่าตอนอยู่ม.ปลาย ซึ่งตอนเรียนมัธยมปลาย ผมสนใจแต่แค่จะทำคะแนนให้ได้ดีๆ เท่านั้นเอง ตอนนี้มันต่างกัน คือเหมือนเรียนแล้วเอาไปใช้ได้จริง มันเหมือนกับว่าผมเรียนไปเพื่อจะได้เอาไปช่วยทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมจะเอาไปรักษาคนไข้จริงๆ ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ แล้วพอเทอมที่สอง เราก็เรียนเคมี ต่ออีกตัวบวกกับวิชาชีววิทยามนุษย์ ซึ่งจะว่าไปก็คือวิชาที่จะเรียนในคณะแพทย์แต่เป็นแบบรวมๆ ทุกอย่างมาด้วยกัน แล้วก็จะมีวิชาอื่นๆ อีกที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ เช่น วิชาการสื่อสารกับคนไข้ (Communication Skills) วิชาปรัชญาของแพทย์ (Medical Ethics) เป็นต้นครับ

เมื่อเรียน Foundation Course  เราก็ต้องทำคะแนนให้ได้ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้น่ะครับ ซึ่งก็สูงพอสมควรเลย แต่สำหรับผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่น่ะครับ เพราะว่าวิชาวิทยาศาสตร์ทุกอันผมได้ Distinction (สูงเป็นพิเศษ) เกือบหมด (อ่า ไม่ค่อยโม้เลย 555) คือจริงๆ ตอนสอบไฟนอลนี่ผมเครียดมากนะ กลัวไม่ผ่าน ซึ่งหลายๆ คนเห็นคะแนนตอนจบแล้วว่าหาว่าที่ผมกลัวคือกลัวไม่ได้ที่หนึ่งสินะ!? คือกลัวตกจริงๆ นะครับ ผมไม่อยากกลับไทยไปแอดใหม่จริงๆ นะ T_T แต่สุดท้ายก็จบแบบ Happy ending นะครับ ผลงานที่ผมทำมาดีก็ทำให้ผมได้เข้ามาเรียนหมอปี 1 ในขณะนี้ครับ เย้ :D
 
สำหรับปี 1 ตอนนี้เป็นการเรียนแบบทุกอย่างเท่าที่มีในการเรียนชั้นพื้นฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์เลยครับ ตอนนี้มีทั้งโครงสร้างร่างกาย (กายวิภาค, จุลกายภาค) เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายและเนื้อเนื่อ, สรีรวิทยา (เรียนเกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกาย) , เภสัชวิทยา (เรียนเกี่ยวกับการใช้ยา คุณสมบัติของยา), พยาธิวิทยา (เรียนเกี่ยวกับการเกิดโรค สาเหตุของโรค อาการของโรค) , Clinical Skills เป็นทักษะการปฏิบัติการ เช่น การตรวจคนไข้ ตรวจตา ตรวจหู ตรวจระบบประสาท เจาะเลือด ฉีดยา วัดความดัน เป็นต้นครับ, Communication Skills เรียนเกี่ยวกับการพูด เทคนิคในการพูดกับคนไข้ การซักประวัติคนไข้  ก็มันจะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ ตามปีน่ะครับ 

ถ้าถามว่าการเรียนหมอที่นี่ต่างจากที่ไทยยังไงบ้าง จากการที่ผมมีเพื่อนรักอยู่ที่สถาบันแพทย์หลักของไทย เช่น จุฬา หรือ ศิริราช คือของจุฬาเนี่ยจะเรียนเป็นบล็อกๆ ไป ซึ่งหมายความว่าจะเรียนแต่ละระบบร่างกายแยกกันไป ในขณะที่ของศิริราชจะเรียนเป็น Region หรือแต่ละส่วน แต่สำหรับที่นี่ เราเรียนเป็นแบบ Spiral Curriculum คือทุกๆ เรื่องในแพทยศาสตร์จะถูกโยนมาใส่ตั้งแต่ปีหนึ่ง แล้วเดี๋ยวปีสูงๆ ไปก็วนกลับมาใหม่อีก แต่ความยากมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆ จนประมาณปีสามนี่อาจจะเข้าขั้นบ้าได้ 555 ก็ต่างกับที่ไทยเพราะว่าที่ไทยคือจะต้องบ้าตั้งแต่แรกๆ แต่บ้าเป็นเรื่องๆ ไปน่ะครับ(ในความเห็นของผมนะครับ) ก็อาจจะดีไปคนละแบบ แต่ผมชอบแบบนี้นะ มันรู้เยอะดีอะ แล้วคือถ้าเกิดชอบอะไรก็ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้เยอะ

ห้องสมุดที่นี่ยิ่งกว่าพร้อมอีก หนังสือมีหมดเท่าที่อยากรู้เกี่ยวกับแพทย์ ส่วนห้อง DR (ห้องเก็บอาจารย์ใหญ่) ก็เปิดให้เข้าได้ตลอด อยากเข้าไปศึกษาโครงสร้างร่างกายเมื่อไหร่ก็ทำได้ (แต่ไปตอนดึกๆ อาจจะหลอนมากถึงมากที่สุด ) อาจารย์ที่นี่เอาใจใส่นักเรียนมากๆ อย่างผมมีอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งผมนับถือมาก อาจจะเป็นว่าผมคุยกับเขาถูกคอมากเพราะว่าสนใจเรื่องเดียวกัน เขาก็พาผมไปดูแล็บที่เขาทำงานอยู่ซึ่งนักเรียนธรรมดาเขาไม่ให้เข้า และก็แนะนำหนังสือที่น่าสนใจมากๆ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของผม ที่สำคัญคือเขาอนุญาตให้ผมใช้อุปกรณ์ในแล็บได้ด้วย เช่น กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน 555 
 
นอกจากเรื่องเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจมากๆ สำหรับหลักสูตรที่นี่ก็คือว่า ตั้งแต่ปีสองจนถึงเรียนจบปีสาม นักศึกษาแพทย์จะถูกส่งไปประจำที่ตามคลินิก โรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อไปช่วยงานหมอในที่เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยซักประวัติคนไข้ เจาะเลือด ฉีดยา ตรวจคนไข้เอง ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ ในการทำให้นักเรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริงตั้งแต่ปีแรกๆ และยังช่วยให้เข้าใจความเป็นมืออาชีพ ทำให้เราตระหนักถึงหน้าที่และความสำคัญของการเป็นหมอมากขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ ครับ

ส่วนความเป็นอยู่ ตอนนี้อยู่หอครับ เป็นหอที่ดีสุดในมหาลัยแล้วล่ะ มีห้องน้ำส่วนตัว เตียงใหญ่แบบนอนได้สองคน มีห้องครัวแชร์กันห้าคน มีอาหารที่โรงอาหารเตรียมให้ทุกเช้า-เย็น รสชาติขอไม่เอ่ยถึงเนื่องจากมาจากเมืองไทย อาหารที่ไหนก็ไม่อาจเทียบเมืองไทยเราได้นะครับ เอาเป็นว่า อยู่ที่นี่กินเพื่อเอาตัวรอดครับ T_T การหาที่พักก็ต้องสมัครหาที่พักผ่านมหาวิทยาลัยครับ ก็ขั้นตอนไม่ยุ่งยากอะไรมาก แต่จะได้หอที่อยากได้หรือเปล่าก็ขึ่นอยู่กับว่าใครสมัครเร็วกว่ากันน่ะครับ แล้วก็ปีที่อยู่ด้วย พวกเข้ามาใหม่ๆ โอกาสได้หอสูงกว่าพวกแก่ๆ ครับ 555 ส่วนที่อยู่ข้างนอก ปีสูงๆ ขึ้นไปโอกาสมันก็จะได้อยู่หอมหาลัยน้อยลง ก็อาจจะต้องออกไปหาที่อยู่ข้างนอกเอง ก็ต้องติดต่อกับเจ้าของห้องเจ้าของบ้านโดยตรงครับ

ส่วนบรรยากาศในเมืองที่ผมมาอยู่ (St Andrews) มันเป็นเมืองที่ ว่าไงดี...ดังมากๆ สำหรับคนทั่วโลก มันเป็นบ้านกำเนิดกีฬาที่ยอมนิยมมาก นั่นคือ GOLF นั่นเอง!! คือนักกอล์ฟทั่วโลกถ้ารักจริงจะต้องมาที่นี่ให้ได้อย่างน้อยหนนึงในชีวิตเลยครับ ก็มีสนามกอล์ฟในตำนานคือ The Old Course ซึ่งทุกคนถ้ารักจริงต้องมาออกรอบสักทีล่ะนะ ก็หวังว่าคนไทยจะมาเยอะๆ นะครับ สวยจนเหลือเชื่อล่ะครับ อยู่ติดริมทะเล มีถูเขา ทุ่งหญ้า ปราสาทเก่ามากมาย ตึกเรียนสวยมาก มีวิวสวยๆ เยอะมากๆ จนแทบจะถ่ายรูปลงโปสการ์ดได้สบายๆ จากที่ไหนก็ได้ เมืองนี้มีครบทุกฤดูแล้วก็แต่ละฤดูก็มีลักษณะพิเศษต่างกันไป เช่น ฤดูหนาว ไม่ต้องพูดถึง คือธรรมดาประเทศนี้ก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว แต่หน้าหนาวมันคือความเลวร้ายครับ ฝนตกตอนฤดูหนาวนี่ไม่อยากออกจากหอเลย จริงๆ นะ ฮ่าๆๆ อ้อ ยกเว้นตอนหิมะตกนะ ย้ำว่าหิมะเท่านั้น (ขาวๆ นุ่มๆ เหมือนปุยนุ่น เอามาปั้นปาอัดกันได้ หรือ สร้างผลงานสวยงามเช่น Snowman เป็นต้น) เพราะไม่อย่างนั้น ความหายนะจะมาเยือนถ้าหิมะตกพร้อมกับฝน มันจะทำให้ลื่นสุดๆ+หิมะจะออกมาเละๆ ดำๆ น่าเกลียดมาก T_T แต่สมมติว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ (หลังฤดูหนาว) ดอกไม้หลากหลายสีสันจะบานสะพรั่ง สัตว์ป่าสุดน่ารัก เช่น กระต่าย กระรอก จะออกมาให้เห็น เช่นเกียวกัน เกสรดอกไม้ซึ่งมาทำพวกคนที่แพ้ต้องจามกันเป็นแถว และที่สำคัญ พระอาทิตย์ ซึ่งจัดเป็นของหายาก ก็จะออกมาเยือนบ่อยๆ ฤดูใบไม้ผลิที่นี่สวยที่สุดเท่าที่เคยเจอมาแล้ว 
 
สำหรับค่าใช้จ่ายนี่บอกตรงๆ ว่าแพงนะครับ คือค่าเรียนนี่ก็ล้านนึงต่อปีแล้วครับ ค่าที่อยู่ 9 เดือนก็อีกประมาณ 3 แสนบาท (ค่าอาหารรวมแล้ว) ส่วนค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ถ้าเกิดนับจากปีที่แล้วผมก็ใช้ไปประมาณ 5 หมื่นน่ะครับ เป็นพวกค่าเล่นกีฬา ค่าเดินทางไปเที่ยว ค่าอาหารนอกจากที่มีเตรียมให้ ค่างานอดิเรก เป็นต้นครับ ที่เมืองนี้ค่าครองชีพก็สูงครับ คือมันเป็นเมืองที่พวกไฮโซไม่ว่าจะทั้งอเมริกาหรืออังกฤษก็จะมากัน เพราะมาตีกอล์ฟกัน ก็เลยค่อนข้างแพงครับ
 
ผมอยากฝากน้องๆ ที่สนใจอยากไปเรียนต่อเมืองนอก ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมอหรอก สาขาอะไรก็ได้ คือการได้มาศึกษาต่อที่ต่างประเทศมันทำให้เราเห็นโลกใหม่ๆ เจอคน เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่มาจากสิ่งแวดล้อม การศึกษา การสั่งสอนที่ต่างกัน มันช่วยและกดดันในเวลาเดียวกันให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและก็ทำให้เรากลับไปมองสิ่งต่างๆ ในประเทศเราได้ชัดขึ้น แล้วลองดูว่ามันมีอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี ทั้งของเราและของเขา แล้วพอเรากลับไปหรือไม่ต้องกลับไปก็ได้ จะอยู่ต่อก็ได้ไม่มีปัญหาถ้ามีงานทำนะ 555 เราจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆ แบบไม่ลำเอียง มองหลายๆ อย่างตามความเป็นจริงครับ 

สำหรับผม ผมคิดว่าเด็กจากโรงเรียนไทยเก่งกว่าเด็กจากโรงเรียนอินเตอร์นะ คือเด็กอินเตอร์ที่ขยัน ตั้งใจเรียนแล้วเก่งๆ แบบเด็กเตรียมมันก็มีแต่มันก็น้อยกว่าเยอะ แต่แน่ล่ะว่าเด็กอินเตอร์ส่วนใหญ่ภาษาอังกษต้องดีกว่าเด็กโรงเรียนไทยแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าการจะเรียนวิชาที่เป็นสาขาพวกนี้ เช่น วิทยาศาสตร์ ความรู้มันสำคัญกว่าภาษาเยอะมากๆ แล้วมันก็ไม่ได้ได้มากันง่ายๆ ด้วยสิ ผมเลยอยากจะฝากถึงน้องๆ ที่มาจากโรงเรียนไทยว่า ถ้าสนใจอยากมาเรียนนอกแบบที่ผมทำ รับรองว่าสนุก มันส์ ที่นี่มีหลายๆ อย่างที่พร้อมมากๆ มีสถานที่ที่น้องจะได้ใช้ความสามารถตัวเองให้มันเต็มที่แล้วทำอย่างที่ชอบได้ พวกน้องน่ะเป็นเหมือนเพชรที่รอการเจียระไนกันอยู่แล้ว แค่ต้องการคว้าโอกาสให้ได้เหมาะสมเท่านั้นเอง สำหรับน้องๆ ที่กลัวว่าภาษาอังกฤษไม่ดี มันเป็นสิ่งที่เราก้าวข้ามได้ครับ และน้องต้องก้าวข้ามให้ได้ด้วย เปิด AEC เมื่อไหร่น้องไม่มีที่ให้หนีแล้วนะ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาส อย่าลังเลครับ คว้ามันโลดดดดดด!! :D"

น้องๆที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมว่าหลักสูตรนี้ที่ St Andrews ดีไหม มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร สามารถลงทะเบียนที่ช่อง “สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม” ด้านล่างนี้ได้เลยค่า หรือทักไลน์ Line ID: @mcducation"

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

CAPTCHA security code
*แมคดูเคชั่น สถาบันส่งเสริมการศึกษาต่อสก็อตแลนด์
ก่อตั้งขึ้นโดยศิษย์เก่าสก็อตแลนด์ และเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยสก็อตแลนด์ทุกแห่ง ที่เดียวในประเทศไทย แมคดูเคชั่นมีทีมที่ปรึกษาที่เป็นศิษย์เก่าและอดีตเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยต่างๆในสก็อตแลนด์ ได้รับความสนับสนุนทางการเงินโดยตรงจากมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาครัฐ นักเรียนสามารถขอรับคำแนะนำจาก McDucation โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในทุกขั้นตอน