Scottish Universities Alumni
"รีวิว MSc Sustainable Eng: Renewable Energy Systems and the Environment, Strathclyde''
อยากให้แนะนำว่าคอร์สดียังไง ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่?
คุณแจ็ค: ตอนนั้นไปเป็นทุนของการไฟฟ้า การไฟฟ้าจะมีทุนของเขาในแต่ละปีให้ แล้วก็จะบอกว่า ranking ของมหาวิทยาลัย ต้องแบบนี้ ก็เรื่องระหว่างอังกฤษหรืออเมริกาดี ด้วยเวลาที่น้อย แล้วผู้ใหญ่อยากให้ไปเลยจะได้ตรงตามรอบ เราต้องสอบของทุนไฟฟ้าให้ได้ก่อน พอได้ทุนเขาก็จะบีบเวลาเราว่า 3 เดือนและ 6 เดือนนี้เราต้องรีบไปให้ได้ เราก็โปรยสมัครไป แต่ว่าเราก็บอกนะครับ สเปคของเราคือ ทุนของเราเป็นพลังงานทดแทน ไม่เน้นทางด้านเทคนิคเยอะ จะต้องกลับมาทำนโยบาย เขาก็หาให้ก็มีเหลือ ตอนนั้นมี Manchester, Newcastle, แฮรอดวาทและ Strathclyde ก็สมัครไป ปรากฏว่าตอบรับกลับมาเกือบหมด คราวนี้ก็ต้องตัดที่ซ้ำกับเพื่อน เพื่อนเลือก Edinburgh กับ Manchester ไปแล้ว มันก็เหลือแฮรอดวาทกับ Strathclyde พอดีทางการไฟฟ้าเขาเหมือนมี project co อยู่กับ Stratclyde เขาบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้น่าจะเหมาะกับ you นะ เคยคุยกันคุ้นเคยกันเลยไป แต่ก็เหมาะจริงๆ คือมันเป็นภาพของเชิงนโยบายของที่โน่นนะครับ ไม่ได้ลงเทคนิคมาก แต่ต้องไปทำงานกลุ่มกับหลากหลายชาติ ไม่มีคนไทยเลยในคลาสนั้น เพราะเหมือนเป็นตัวแทนแต่ละประเทศส่งไป ประมาณ 40-50 คน ชีวิตที่อยู่ที่โน่นค่อนข้างดี คือเป็นเมืองกลาสโกว์ Strathclyde จะอยู่ติดกับเมืองเลย เราเดินไปช้อปปิ้งได้ นั่งรถไฟออกไป 15 นาทีก็เป็นธรรมชาติแล้วก็เลย balance กัน ถ้า Strathclyde ก็ดี แต่ถ้าในเรื่อง cost มันแล้วแต่มหาวิทยาลัยนะครับ เข้าไปจริงๆแล้วตัวนี้มันเอากลับมาทำงานได้จริง เวลาที่คิด sustainable ตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นเทคนิค แต่มันเป็นการ implement ภาพของ Global แล้วเอากลับมาประเทศ อันนี้คือโจทย์ของ Strathclyde
แล้วอย่างคลาสเรียนเป็นยังไงบ้างคะ หมายถึงอาจารย์สอนเป็นยังไงเข้าใจไหม หรือมีเพื่อนในห้องเขาตั้งใจกันหรือเปล่า หรือต่างคนต่างเรียนคะ?
คุณแจ๊ค: ของพี่แบ่งเป็น 3 เรื่อง เทอมแรกเรียนเลคเชอร์เทอม 2 เรียนทำงานกลุ่ม เทอม 3 ทำ dissertation ของตัวเองครับ เทอมแรกถ้าเราเรียนในเมืองไทย เราถนัดพวกเลคเชอร์ อ่านหนังสือเองแล้วก็กลับมาทำ แต่มันจะมีบางคลาสที่เราต้อง debate แล้วเป็นคนที่อายที่จะพูดในยุคนั้น แต่ยุคนี้ไม่อายนะ พอไปก็จะเป็นนั่งเป็นโต๊ะทรงกลม แล้วใครพูดเขาจะมีคนที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์จดคะแนนให้ ว่าใครพูดอะไร พี่จะต้องทำการบ้านไป รีบพูดก่อนที่ฝรั่งมันจะพูดก่อน เพราะเดี๋ยวเราจะได้คะแนนโจทย์ อันนี้ก็คือสนุกเวลาที่เรียนกับฝรั่ง มันพูดทีเล่นทีจริง อยู่กับเขามันก็ทำให้เราคลายว่ามันไม่เหมือนในภาพที่เราคิดว่าเราจะต้องไปอยู่ในห้องเรียนแบบนั้น ไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยอื่นเป็นไหม Strathclyde น่าจะเป็นประมาณนี้ พอเทอมที่ 2 ก็ต้องทำงานกลุ่ม แต่งานกลุ่มพอจับได้กับฝรั่งเศสเหมือนกัน และจับได้กับอียิปต์ เขาอยากทำเรื่องม่านเปิด-ปิดรับแสง ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ทำแน่นอน แล้วเราต้องทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะต้องทำ แต่เขาบังคับให้ทำ มันก็ต้องเหมือนถูกกดดัน แล้วมันจะดึงศักยภาพบางอย่างของเราออกมา เช่น การต้องไปเตรียมข้อมูลเพราะว่า พวกเขาเหมือนคนที่พร้อมกันมาอยู่แล้วนะ ทั้งภาษาก็ดีหรือทางด้านเทคนิค มันทำให้เราต้องคุย พอไปคุยเสร็จอาจารย์จะคอย support ตลอด จะมีช่วงหดหู่อันนี้ไม่ได้ขู่ จะมีช่วงหนึ่งเรารู้สึกว่าทำไมเราต้องเหนื่อยขนาดนี้ หรือด้อยกว่าเขา แต่ว่าเป็นแป๊บเดียว เราปรับได้เราก็ทำได้ เทอมสุดท้าย dissertation ก็เขียนให้ครบ สนุกๆเล่าเรื่องว่า เป็น project ว่าจะทำอะไร แล้วเขาจะมีแบบ simulation ให้เราเลือกโปรแกรมในมหาวิทยาลัย ถ้า engineering ให้ทำ simulation ดูว่าชอบทำแบบไหน โปรแกรมแบบไหน ที่ทำในเรื่องของเอาเซลล์แสงอาทิตย์มา charging ในรถยนต์ไฟฟ้า แล้วผสมกับระบบกลิ่นเอาเป็นเปอร์เซ็นต์ขนาดไหนดีถึงจะเหมาะ แล้วก็เขียนเล่าเรื่อง คือฝรั่งเขียนทางด้านเทคนิคน้อยแต่เล่าเรื่องดีๆ แล้วบอกว่ามันจะเกิดผลกระทบอะไรแล้วเขาไม่มีผิดไม่มีถูก แล้วเขาก็แชร์ ความคิดเราลงไปแค่นั้นแหละครับก็จบออกมา ตอนที่ยากที่สุดคือเรื่องปรับตัวฟังครั้งแรก ภาษาสก๊อตอาจารย์จะมีสำเนียงสก๊อต ตกใจฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ต้องกลัวนะอีกแป๊บนึงเราก็จะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องฟังรู้เรื่องหรอก แต่เดี๋ยวมันก็ชิน ตอนแรกเราคิดว่าเรียนที่เมืองไทยทำไมไม่มีสำเนียงนี้ แต่ก็ดีครับ
Allow space material?
คุณแจ๊ค: ถ้าเรื่องของห้องสมุด Strathclyde ค่อนข้างดี เป็นเหมือนกลาสโกว์ เหมือนกันคือ support ทุกอย่าง แต่เขาจะเปิด 24 ชั่วโมง ช่วงใกล้ๆสอบก็ไปฝั่งร่างอยู่ที่นั่นได้เลยก็ดีครับ แล้วถ้าตอน professor ถ้าจะเลือกตอนที่ทำ dissertation ให้เราไปอ่านบทความของเขาลองดูก่อน คนเขียน feel แบบเราค่อยๆไปหาเขา อย่าถึงวันแล้วไปหาเขานะ เพราะเทอม 2 เราเริ่มรู้แล้วว่า feel เราจะไปอะไร ไปเหมือนทำตัวคุยสถิตอะไร เฮ้ย! ผมได้อ่านบทความที่คุณเขียนลงไปนะเรื่องนี้ แล้วเดี๋ยวเขาเลือกเรา แต่ไม่ใช่ไปคุยเรื่องอะไรที่ไร้สาระ บอกว่า เออ! ผมสนใจเรื่องประมาณนี้อยู่ เออ! คุณคิดว่าถ้าเกิดในประเทศไทยได้ไปทำแบบนี้น่าจะได้ไหม? แล้วเขาจะจำเราได้ แล้วพอถึงใกล้วันจริงๆเราบอกว่าผมอยากทำ project ประมาณนี้กับคุณ แล้วเดี๋ยวเขาเลือก เพราะว่า professor ที่ดีๆ คนก็จะต้องแข่งเยอะ แต่เราต้องสร้าง experience ให้เขานิดนึง แล้วก็เรื่องกีฬาสำหรับผมผมกังวลว่า ผมไม่เคยไปอยู่คอร์สแบบยาวๆแบบนั้น เลยต้องหาเพื่อน เพื่อให้เขากรองอ่านภาษา คือตอนภาษาตอนแรกยังไม่ได้ถึง IELTS ยังไปไม่ถึง ต้องไปปรับตัวเรียนภาษาเราก็กังวล คราวนี้เราจะทำยังไงถึงจะได้คุยกับเขา ก็เลยชวนเขาไปเล่นกีฬา แล้วมันกลายเป็นข้อดี คือพอเราสนิทกับฝรั่ง พอเราสนิทกับเขา เราจะให้เขามาอ่านอะไรให้เราได้ แต่ถ้าอยู่ดีๆจะไป take advantage กับเขาเลยเขาไม่ให้ ไม่ค่อยเหมือนคนไทยครับที่จะสนิทกันง่าย คนไทยสนิทกันง่ายแต่ไม่ลึก แต่ฝรั่งถ้าสนิทแล้ว พาไปกินข้าวตรวจงานให้ทำอะไรให้ ก็พยายามไปเล่นกิจกรรมอื่นกับเขาก่อนอันนี้ดี แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ เขาจะมีแนวในการเขียน dissertation ของพี่ๆในงานกลุ่ม หรืองานเดี่ยวเก็บไว้ให้ อันนี้เข้าไปดูที่คณะผมเชื่อว่าทุกคณะน่าจะได้ อีกอันนึงคือโปรแกรม simulation ถ้าเป็นวิศวะ ถ้าเกิดจะต้องใช้ ฝรั่งไม่มานั่งสอนเรากดเหมือนอาจารย์เมืองไทยนะ บอก A,B,C เขาให้โปรแกรมแล้วให้ไปเลย ฉะนั้นวิธีการไปก็คือ ไปดูว่าพี่ปีที่แล้วที่คนไทย ใครเรียนหลักสูตรนี้ มันจะมีการทำคู่มือกันไว้อยู่ แล้วเวลาเขียน dissertation หรือเขียน report ของอาจารย์แต่ละคนนะครับ ให้เขียนตรีมตามเขานะ อย่าใส่ความเป็นตัวเองไปเยอะ คือเมื่อกี้บอกว่าตอนท้ายมันจะมีสรุปแบบที่เป็นตรีมประมาณเขา แล้วใส่ชื่อเขาไปนิดนึง อันนี้คือพวกแอฟริกากันชอบถามว่าทำไม you เขียน paper แล้วได้คะแนนพุ่ง? เราก็บอกว่า เราก็ไม่รู้สิอะไรอย่างนี้ อันนี้จริง คือเวลาเขียนให้คะแนนพุ่งคือ ไปอ่านสิ่งที่อาจารย์เขียนแล้วก็พูดในเรื่องคล้ายๆเขาว่าเห็นด้วยกับแบบนี้ และ ciatation ชื่อเขานิดนึง แต่ก็ดึงความเป็นตัวเองไว้ แล้ว Paper จะเขียนได้คะแนนดี ส่วนเรื่องญาติๆ ตอนที่ simulation ให้ฝรั่งมาช่วยเยอะๆ แล้วมาช่วยอ่านให้ รบกวน prove ให้หน่อย เขาอ่านแป๊บเดียวเขาก็รู้แล้ว เทคนิคเอาตัวรอดจบยังไงให้สวยงาม
ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องภาษาไหม?
คุณแจ๊ค: ไปเรียน Pre-Sessional Course ก่อน จริงๆ มันจะมีเหมือนแถม เขาจะมีเหมือนเดือนที่แถมให้ 4 week เลยไป แต่ตอนที่ไปคือเขาจะให้ทุนสัก 3 เดือน มีเรียนแถมเข้าไปก่อน 1 เดือน พอไปก็ดีนะได้เที่ยวด้วย แล้วมันก็ไม่กดดันมากครับ ฟังไม่ออกเลย เคยเจอแม่บ้าน “Aye” อะไรก็ไม่รู้ คือ yes ของเขาคือ Aye เราถามว่าหอฉันอยู่ตรงไหน ไปทางนี้ใช่ไหมเลี้ยวขวา เขาบอกว่า “Aye” เอาแล้วชิบหาย พอสักพักหนึ่งเริ่มเข้าใจว่า มันไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง แล้วตอนแรกไม่กล้าคุย ยิ่งเป็นภาษาอังกฤษยิ่งจะไม่กล้าคุย คลาสที่เขาสอนภาษา เขาก็จะเริ่มพูดให้เราเพิ่มพูดได้มากขึ้น เราก็คุยกับจีน ในคลาสภาษานั้นก็เป็นจีน เป็นบราซิล เขาก็จะพูดประมาณนึง เสร็จแล้วตอนที่เริ่มรู้สึกว่า มันไม่ต้องกังวลคือ ตอนเราเริ่มเรียนคอร์สจริงๆ แล้ว แล้วเขาเริ่มสื่อสารทุกคนไม่ได้มาจับผิด Grammar เราว่าผิดหรือถูก เราไม่ต้องการคำสละสลวย แต่ต้องการคำที่พอดี พี่เห็นน้องคนหนึ่งวันที่เป็นแรงบันดาลใจ น้องผู้หญิงที่เป็นคนไทย ภาษาก็ไม่ได้ดีกว่าเราเท่าไหร่หรอก แล้วก็กำลังล้างจานอยู่ เสร็จก็มีฝรั่งโทรมาตามงาน แล้วมันก็ด่าสำเนียงไทย อ้าว! ด่าแบบนี้ก็ได้ พี่ก็เริ่มกังวล จริงๆ เราคาดหวังว่าเราต้องพูดเพราะๆแบบนี้ แต่พอตอนที่สอบ ตอนที่ IELTS ยังไม่ถึง ให้มันถึงแบบ 7.5 เขาก็จะสอนแบบเป็น pattern เลย คือตอนที่ไป ด้วยพอได้ทุนมันต้องรีบไป พอไปแล้วค่อยไปปรับคอร์สตรงโน้น ฉะนั้นตอนทำข้อสอบ IELTS ตรงที่เป็น Reading ก็จับ keyword ไม่ต้องไปรีบอ่านทุกคำให้รู้เรื่องในนั้นนะครับ มันจะมีอันง่ายกับยาก อันง่ายเราตอบได้อยู่แล้ว แต่ส่วนอันยากเราจับ keyword และใส่ลงไป ส่วน writing ก็ให้เขียน pattern ตามที่เราเขียน แต่เปลี่ยนโจทย์ มันจะมีโจทย์ให้เราเลือกว่าใช่หรือไม่ใช่ กับเลือกให้ตอบ 3 ข้อ เราเขียน pattern ในนั้น ใน writing ให้เขียนแบบว่ามีคำสวยๆเป็นคำยากๆไว้สัก 2-3 คำ โชว์ skill คะแนนพุ่งดีมากเลย แล้ว speaking พูดให้คำศัพท์พยายามอธิบายให้ง่ายๆ แล้วก็ใส่คำศัพท์ยากไปบางคำ แล้วก็พูดให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องยากทุกคำ ถ้ายากทุกคำเดี๋ยวจะไม่เป็นธรรมชาติ แล้วก็ดีขึ้นครับ ส่วนตอนที่ไปเรียน pre เรียนเพื่อไปเที่ยวสนุกกับเพื่อน แล้วของ engineering ที่ Strathclyde เขาจะพาไปเที่ยวโรงงานอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไปดูหน่วยงานต่างๆ ช่วงนั้นไปดีจะได้เห็นของจริงว่าเป็นยังไง ผลิตพลังงานจากน้ำ ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งถ้าเป็นตอนปกติ เข้าดูแบบนั้นได้ยาก
ก่อนเรียนกับเรียน จบมาแล้ว skill เพิ่มขึ้นเยอะไหม?
คุณแจ๊ค: ของพี่ดูเหมือนว่าเวลาเราคุยตลกๆอะไรไป แตรพอตอนจบกลับมาแล้ว การเขียน paper ของเราเหมือนเราฝึกเขียนทุกวันมันจะคล่อง ถ้าทำหน่วยงานราชการนะครับ เขานิยมให้เขียน paper ไปส่งเวทีโลก เราจะไม่กลัวเวทีโลกแล้ว ตอนแรกก่อนที่เราจะไป เราจะกลัวว่า โอ้โห!ส่งเวทีโลกเลยเหรอ จริงๆ มันก็เหมือนกับที่เราเขียนส่งในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เราก็แก้ส่งไปได้หมดเลยนะ พอตีพิมพ์มันก็เป็นโปรไฟล์ที่ดี พอเราขึ้นพูดบ่อยๆ ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เราก็เหมือนพูดหน้าห้องให้เพื่อนฟังทุกครั้ง พอไปที่ญี่ปุ่นจำได้ว่าครั้งแรก พอกลับมาแล้วไปญี่ปุ่น คนที่ไปฟังกับเราครับ เขาก็บอกว่าคุณพูดสำเนียงเพราะมาก คุณไม่ได้จบที่เมืองไทยใช่ไหม โอ้โห! ซ้อมมา แต่มีความรู้สึกว่า อ๋อ! ตอนที่ไปอยู่นั่นมันทำให้เราเป็นธรรมชาติ แล้วพูดเวลา Public speaking มันจะดีขึ้นเอง แล้วพอตอนไปที่นิวซีแลนด์ เวลาเจอคำถามถ้าเกิดเป็นคนไทย พอเจอฝรั่งถามจะกลัวแล้ว แต่อันนี้เราจะพูดเล่นกับเขา คุยและตอบคำถามแบบเป็นธรรมชาติ ทำให้การพูดในระดับโลกก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไกลตัว และการเขียน writing ก็จะดีขึ้นจะสนุกมากขึ้น ในการอ่านหรือหาข้อมูลอะไร ก็ไม่กลัวฝรั่งเวลาเขามา แต่ก็ไม่ได้เก่ง คือเราคิดว่าตอนนั้นเราเก่งประมาณนึง แต่ว่าจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้แพ้อะไรฝรั่งหรอก แต่แค่เรายังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พอเราสื่อสารเราอ่านได้ เราก็ connect ทุกคนได้
มีความประทับใจอะไรในคอร์ส และของมหาวิทยาลัยตัวเองบ้าง ?
คุณแจ๊ค: ภาพประทับใจคือ ชอบพูดในเวลาที่ทำงานตลอด เวลาที่ไปเรียนที่นี่ สกอตแลนด์เป็นเมืองของพลังงานทดแทน เราก็ไปด้านนี้ใช่ไหมครับ ตอนนั้นอาจารย์ให้โจทย์ว่าผู้หญิงท้องที่อินเดีย จะได้รับผลกระทบอะไรจากการหันลมที่สกอตแลนด์ไม่หมุน คือการคิดอย่างนี้คือการคิดแบบครบองค์เลย sustainable ไม่ใช่เพียงเทคนิค หรือด้าน economy แต่มันคือการที่ให้เราคิด แต่เราไม่ได้คิดแค่อยู่ในเมืองไทย แต่คิดกระทบกันทั้งโลก เราก็จะได้เห็นความหลากหลายแล้ว เราต้องไปถามว่าบ้าน you ถ้าเกิดไฟไม่หมุน จะเป็นยังไงก็ได้ถามกัน ฉะนั้นเกิดความหลากหลาย จะทำให้เราเหมือนดึงตัวเราเองออกไป เวลา 1 ปีครึ่ง เวลา 1 ปีมันกระชับมากที่ทำให้เราได้เรียนรู้ แต่ก็พัฒนาเราได้ ถ้ามีโอกาสได้ไปแล้วครับ อย่ากลัวและสนุก enjoy กับมันก็ประทับใจตรงนี้ ที่ทำให้เราได้มีมุมแบบ Global มากขึ้น
รุ่นพี่ส่งต่อรุ่นน้อง หรือมีเป็นกลุ่ม line กัน meeting กันอย่างนี้บ้างไหม เผื่อไปแรกๆแล้วรู้สึกโดดเดี่ยว ต้องติดต่อใครมีบ้างไหมหรือว่า อะไรยังไง ตอนไปเจอเพื่อนยังไง make friend ยังไง เริ่มจับคนไทยก่อนหรือต่างชาติก่อน?
คุณแจ๊ค: ถ้าเรื่องเพื่อนมารู้จัก วันนั้นไปเหมือนไม่รู้วันนั้นมีจัดปาร์ตี้ ก็คุยกับเพื่อนข้างๆกัน คุยกันจนปัจจุบันเมื่อกี้น้องเขาแต่งงาน เขาเอาการ์ดแต่งงานมาให้กับเพื่อนในกลุ่ม มันจะเป็น connection ที่ต่อกัน อย่าคุยกันแค่ตรงนี้นะ ก็ต้องถามว่า เฮ้ย! แล้วรู้จักคนปีที่แล้วไหม ใคร แล้วเราต้องพยายามติดต่อเขาจากที่โน่นไว้ก่อนเลย พอวันที่บินไปถึง คนที่ไปปีที่แล้วเขามารอรับเรา แล้วก็พาเดินรอบเมือง แล้วอธิบายดี เสร็จแล้วบางคนบอกว่าตอนที่ไปอย่าคุยกับคนไทยนะ เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ภาษา ผมบอกว่าคุยเถอะ เดี๋ยวมันจะมีช่วงที่ฝึกภาษา แต่การคุยกับคนไทยบางทีเครียด แล้วเราไม่รู้จะคุยกับใคร ระบายกับใคร ทุกๆ วันเสาร์ผมจะมีพวกน้องๆ มานั่งกินข้าวที่ห้อง ทำกับข้าวกินกัน แล้วก็ flatmate ที่ไปก็ไปกับ education 1 คน แล้วอีกคนเป็นรุ่นพี่ที่เขาจะเรียน ป.เอก แล้วก็มีฝรั่ง 1 คน ฝรั่งเขาก็ไม่ค่อยมาอะไรกับเราหรอก แต่เขาก็บอกว่าถ้ามีปาร์ตี้หรือเราทำกับข้าว เขาก็อาจจะมานั่งบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่นิสัยที่จะมาเจาะแจะอะไรนะครับก็ดี ตอนแรกที่มาเรียนภาษา เขาบังคับให้อยู่ในของมหาวิทยาลัยก่อน อยู่กับ flatemate ที่เป็นคนจีน เขาจะแชร์ห้องน้ำกัน กับแชร์ห้องครัว ถ้าในมหาวิทยาลัยนะครับ ก็แค่จัดเวลาหรือว่าไม่อาบน้ำพร้อมกันกับเขา ซึ่งความจริงไม่ค่อยอาบน้ำอยู่แล้วตอนเช้าก็สบายไป แต่ว่าเขาก็สะอาดก็มีจีนแบบสะอาด แล้วก็ฝรั่งตอนที่ไปเล่นกีฬา เขาจะชวนเราไป สกีกับเขา ไปกินข้าวไปปาร์ตี้ ตอนแรกจะปาร์ตี้ห้องดำๆ ที่อยู่ในผับอย่างเดียว แล้วปาร์ตี้เขาเหมือนเล่นดนตรีกัน เล่นเปียโนและมาแชร์อาหาร ทำกับข้าวที่บ้านกัน และมี connection ทั้งแบบฝรั่งและคนไทยด้วย เพราะ connection คนไทย กลับมาสำคัญมาก มันต่อยอดธุรกิจกันมากมาย อันนี้ข้อดีเลยนะ และตอนก่อนกลับ เขาจะมีการมอบของใช้หรือให้อะไรกัน คือพยายามดูแลรุ่นต่อไปให้ดี เดี๋ยวมันจะมีการสื่อสารกัน แล้วบางทีเราอยากไปเที่ยว กลับไปพาครอบครัวไป เขาก็จะดูแลเราแบบดีๆ อันนี้คือสิ่งที่ไม่อยากให้พลาดว่า เราจะไปฝึกภาษาได้คุยกับคนไทย คนไทยนี่แหละจะช่วยเหลือกันดีครับ
Reading list ที่อาจารย์ให้ คือปกติจะเยอะมาก ถามว่าทุกคนอ่านหมดเหมือนที่อาจารย์ recommend ให้อ่านหรือเปล่า หรือมีเทคนิคการอ่านเก็บข้อมูลยังไง เข้าไปในห้องแล้วไป discuss กับเขาได้?
คุณแจ๊ค: อาจจะเป็นคนสายขี้โกงตลอด เป็นสายขี้เกียจ เอาเทคนิคยาวๆสวยงามจบไวทำยังไง คือไปดูข้อสอบเก่าเลย อาจารย์ฝรั่งเขาจะไม่ค่อยเปลี่ยนนะ แล้วข้อสอบเขาจะคล้ายๆเดิม ฉะนั้นเราก็จะเหมือนรู้แล้ว ไกด์แล้วว่าเขาจะออกข้อสอบยังไง อ่านตามเรื่องที่เราประมาณนี้ไว้ก่อน ไม่ต้องไปอ่านบทนำเพราะไม่มีเวลา เพราะมันเยอะมากจริงๆ แล้วพักหลังเขาจะไม่ค่อยให้อ่านเยอะ ฝรั่งเขาก็จะชอบส่งลิงค์ที่เป็น YouTube ให้เราดูอย่างนี้ แล้วก็มาทำได้ ส่วนทางด้านที่เป็นคำนวณ ข้อสอบเก่าเปลี่ยนแค่ตัวเลขเองจริงๆ แค่นั้นถ้าเกิดเป็นคณิตศาสตร์จริงๆ แล้วถ้าจะเขียนเอาใจอาจารย์อย่างที่บอกครับว่า ไปอ่านของเขานิดนึง แล้วก็เขียนตามตรีมเขาเขียน แป๊บเดียวก็ทำได้ไม่ต้องอ่านเยอะ แต่ถ้าอยากมีความรู้ก็อ่านเยอะๆ
แปลว่ามีการ manage เวลา อ่านหนังสือตลอดเลยหรือว่าใกล้ๆสอบ แล้วมาอ่าน หรือ manage เวลาได้ไปปาร์ตี้ คือได้ใช้ชีวิตตรงนี้ด้วยไหม?
คุณแจ๊ค: มันไม่ได้เหมือนเมืองไทย ที่จะมาอ่านตอนใกล้สอบแล้วจะทัน ต้องอ่านทุกวัน คือต้องอ่านทุกวันแต่ไม่ได้อ่านทั้งวัน นึกออกใช่ไหมเราก็ต้องมีทำการบ้านตอนเย็น อ่านแล้วก็ทำการบ้าน แล้วก็แบ่งเวลาว่าคือพี่ต้องไปยิมหรือไปเล่นกีฬา ให้มันคลายเครียดเราก็กลับมา เพราะว่าถ้าอยู่แต่ในห้องหรือในห้องสมุดไม่ได้ เราต้องออกไปบ้าง แต่ตอนช่วงที่จะเป็นช่วงสอบ ให้เวลากับมันเยอะๆ แล้วก็วางแผนนะครับว่า เขาจะบอกแล้วแหละว่าเวลาสอบวันไหนอะไรบ้าง ถ้าเป็นแบบที่เป็นคำนวณก็ทำเฉพาะข้อสอบเก่าอย่างเดียวเลย ถ้าเป็นบรรยายเขาจะมี keyword แล้วเขาจะคิดเลยเป็น pattern ในใจ แล้วพอเข้าไปในห้องจะเปลี่ยนนิดนึง แต่เราท่องมาจากบ้านเราว่าเราจะเขียนแบบนี้ ไม่ต้องกลัวมากแต่มันจะเครียดตรงที่ ทำรายงาน จะมีรายงานให้เขียนทุกวัน มันถูกบังคับด้วยการเขียนรายงานอยู่แล้ว ฉะนั้นเราก็เลยจะไม่สามารถไปอ่านเฉพาะช่วงนั้นได้ จะมีรายงานที่เป็นคะแนน ก็เลยบังคับตัวเองครับ แล้วอย่าอยู่คนเดียวนะ มันเครียดเกิน ต้องออกไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง
ของคุณแจ๊คเป็นนักเรียนทุนให้จำกัดใช่ไหมคะ?
คุณแจ๊ค: ทุนให้จำกัด 1,000 กว่าเหรียญ ใช้พอและเหลือ ค่าหอถ้าเราจะอยู่แบบกลางๆ ก็อาทิตย์ละ 100 กว่านิดๆ ฉะนั้นเราก็จะเหลืออีก 500 กว่า ค่ากินก็ 300 ถ้าเราไม่ได้แบบอู้ฟู่นะ บางคนเขาก็ไปทำงาน บางคนเขาก็ไปรับจ้างเสิร์ฟ หรือทำในโรงแรม แล้วแต่ว่าคน manage ได้ไหม และมันแล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของคนเลย บางคนเขาไฮโซ บ้านอยู่แบบ 2 ชั้นเลยนะ แล้วเสร็จแล้วจะมีการไปทำกับข้าว พี่โชคดีที่น้องๆจะอยู่ในอยู่ด้วยกัน เขาจะเอาขนมพวกนี้มาแขวนให้ วันที่เราทำเราก็แขวนคืนกลับ อันนี้ก็คือดี แล้วทำกับข้าวก็เรียกกันมากินมันจะสลับกันไปครับ ซื้อผักหรือหมูมาไว้อาทิตย์ละครั้งก็จะสลับกินกันได้ แล้วไปวัดได้กินข้าววัด แล้ววางแผนทริปเที่ยว อยากให้เที่ยวนะครับ มันเป็นโอกาสไม่บ่อยครั้งในชีวิตที่เราจะได้มีโอกาสเที่ยวตลอดทั้งปี ทัวร์ยุโรป ไปแทบหมดเลยไปสวิตช์ไปฝรั่งเศส มีคนบอกเหมือนกันว่ามันเป็นโอกาสแล้วไปเถอะ แล้วก็ขึ้นตั้งแต่สก๊อตไปจนข้างล่าง ไปลอนดอน เราก็วางแผนดีๆแล้วมันจะมีกิจกรรมกีฬาสัมพันธ์ ตอนที่ไปเล่นกีฬาเราจะเจอเพื่อน รู้จักกันดีแล้วพอไปไหน จะมีคนพาเราไปเที่ยว แล้วเดี๋ยวเขาก็มาเมืองเรา มันเป็นการใช้ชีวิตน่ะ ถ้ามันได้เกียรตินิยมด้วยมันก็ดี แต่การใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ แล้วเพื่อนที่อยู่ที่โน่นปัจจุบันก็ยังติดต่อกันอยู่ พอยิ่งทำงาน ยิ่ง connection ดีมาก เขาก็เติบโตในสายงานของเขา เขามีเพื่อนทั่วโลก
สำหรับน้องๆที่สนใจเรียนต่อด้าน MSc Renewable Energy Systems and the Environment หรือสมัครเรียนที่ University of Strathclyde สามารถลงทะเบียนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนี้เลยค่ะ"